การอ่านแปลความตีความและขยายความ
การอ่านแปลความ
ความหมาย
การแปลความ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.2525 (2525:540)ให้ความหมายว่า "แปล"ไว้ว่า "ก.ถ่ายความหมายจากภาษาหนึ่ง ทำให้เข้าใจความหมาย"
ชวาล แพรัตกุล(2518:228-229) ได้ให้ความหมายของคำว่า "แปล"ไว้ว่า หมายถึง การแปลเจตนา และรู้ความหมายของเรื่องราวนั้น และสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ด้วยถ้อยคำใหม่ สำนวนใหม่พอสรุปความหมาย"การแปลความ"ได้ว่า หมายถึง การอ่านที่มุ่งให้เกิดความเข้าใจกับเนื้อหา เริ่มจากการแปลคำหรือศัพท์ที่ไม่รู้ความหมาย หรือเป็นการแปลศัพท์จากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง การถอดคำประพันธ์ แปลความหมายรูปภาพ เครื่องหมายต่างๆ เช่น
หน้าวังหรือจะสั่งด้วยนะนก ในแนบอกของพี่ว่าโหยไห้
มิทันสั่งสกุณินก็บินไป ลงจับใกล้นกตะกรุมริมวุ้มวน
คำที่ขีดเส้นใต้ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง นก
ความหมาย
| |
|
การอ่านตีความ หมายถึง การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมาย ความคิดสำคัญของเรื่อง ความรู้สึก และอารมณ์สะเทือนใจจากบทประพันธ์ ซึ่งอาจเข้าใจได้มากน้อยลึกซึ้งเพียงใด ตรงกันกับผู้ประพันธ์หรือไม่ หรือผู้อ่านคนอื่น ๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถและประสบการณ์เดิมและความรู้สึกของผู้อ่านแต่ละคน การตีความของทุกคนอาจไม่ตรงกันเสมอไป โดยในกระบวนการอ่านเพื่อตีความนั้นผู้อ่านจะต้องใช้ความรู้ ความสามารถในการแปลความ จับใจความสำคัญ การสรุปความ รวมทั้งการเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ของข้อความ
การอ่านตีความ
การอ่านตีความ หมายถึง การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมาย
ความคิดสำคัญของเรื่อง ความรู้สึก น้ำเสียง และเจตนาของผู้เขียน เช่น
แนะนำ สั่งสอน เสียดสี ประชดประชัน การตีความของทุกคนอาจไม่ตรงกันเสมอไป
กระบวนการอ่านเพื่อตีความผู้อ่านจะต้อง ประกอบด้วย
๑.ใช้ความรู้ ความสามารถในการแปลความ
๒.จับใจความสำคัญ
๓.การสรุปความ
๔.การเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ของข้อความ
ความสำคัญของการอ่านตีความ
|
การอ่านตีความเป็นการอ่านที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ประสบการณ์
การสังเกต และการวิเคราะห์ ของผู้อ่าน
การอ่านตีความเป็นการอ่านขั้นสำคัญที่ทำให้เข้าใจงานเขียนทุกชนิด
การอ่านตีความจึงมีความสำคัญ ดังนี้
๑. ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องที่อ่านได้หลายด้านหลายมุม
๒. ช่วยให้เห็นคุณค่าและได้รับประโยชน์จากสิ่งที่อ่าน
๓. ช่วยให้ฝึกการคิด ฝึกไตร่ตรองเหตุผล
๔. ช่วยให้มีวิจารณญาณในการอ่านมากยิ่งขึ้น
๕. เป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงงานประพันธ์นั้น ๆ
๖. ช่วยให้ผู้อ่านมีโลกทัศน์ที่กว้างไกล ลึกซึ้ง มีใจกว้างยอมรับความแตกต่าง ของมนุษย์ด้วยกันได้
การตีความควรจะตีความทั้งด้านเนื้อหาและด้านน้ำเสียงควบคู่กันไป
ตัวอย่างที่ ๑
"ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ"
ตีความด้านเนื้อหา : น้ำพริกที่มีปริมาณน้อย เมื่อตำแล้วเทละลายลงแม่น้ำย่อมสูญเปล่า เพราะไม่เกิดรสชาติใดๆเปรียบได้กับการทำอะไรก็ตามแล้วสูญเปล่า
ตีความด้านน้ำเสียง : เตือนสติคนเราว่า การจะทำอะไรต้องประมาณตนว่า
สิ่งที่ทำลงไปนั้น จะได้ผลคุ้มค่าหรือไม่
ตัวอย่างที่ ๒
เหมือนบายศรีมีงานท่านถนอม
เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทน์ให้หรรษา
พอเสร็จงานเขาเอาทิ้งลงคงคา
ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง
(นิราศพระบาท - สุนทรภู่)
ตีความด้านเนื้อหา : สุนทรภู่เปรียบเทียบว่าชีวิตคนเรานั้นเหมือนบายศรี
เวลามีงานก็จะถนอมเป็นอย่างดี แต่พอเสร็จงานก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่า
ก็จะกลายเป็นเพียงเศษใบตองเท่านั้น
ตีความด้านน้ำเสียง : สุนทรภู่ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ผันแปรของคน
ซึ่งเมื่อก่อนเคยมีความสุข มีคนยกย่องให้เกียรติ แต่บัดนี้ต้องมาพบกับความทุกข์
ความขมขื่นตามลำพัง
สรุปผลการตีความ : เตือนใจให้ผู้อ่านได้ยั้งคิดถึงชีวิตของคนว่า ทุกอย่างไม่แน่นอน
พึงเตรียมใจไว้สำหรับสัจธรรมข้อนี้ด้วย
การตีความควรจะตีความทั้งด้านเนื้อหาและด้านน้ำเสียงควบคู่กันไป
ตัวอย่างที่ ๑
"ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ"
ตีความด้านเนื้อหา : น้ำพริกที่มีปริมาณน้อย เมื่อตำแล้วเทละลายลงแม่น้ำย่อมสูญเปล่า เพราะไม่เกิดรสชาติใดๆเปรียบได้กับการทำอะไรก็ตามแล้วสูญเปล่า
ตีความด้านน้ำเสียง : เตือนสติคนเราว่า การจะทำอะไรต้องประมาณตนว่า
สิ่งที่ทำลงไปนั้น จะได้ผลคุ้มค่าหรือไม่
ตัวอย่างที่ ๒
เหมือนบายศรีมีงานท่านถนอม
เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทน์ให้หรรษา
พอเสร็จงานเขาเอาทิ้งลงคงคา
ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง
(นิราศพระบาท - สุนทรภู่)
ตีความด้านเนื้อหา : สุนทรภู่เปรียบเทียบว่าชีวิตคนเรานั้นเหมือนบายศรี
เวลามีงานก็จะถนอมเป็นอย่างดี แต่พอเสร็จงานก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่า
ก็จะกลายเป็นเพียงเศษใบตองเท่านั้น
ตีความด้านน้ำเสียง : สุนทรภู่ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ผันแปรของคน
ซึ่งเมื่อก่อนเคยมีความสุข มีคนยกย่องให้เกียรติ แต่บัดนี้ต้องมาพบกับความทุกข์
ความขมขื่นตามลำพัง
สรุปผลการตีความ : เตือนใจให้ผู้อ่านได้ยั้งคิดถึงชีวิตของคนว่า ทุกอย่างไม่แน่นอน
พึงเตรียมใจไว้สำหรับสัจธรรมข้อนี้ด้วย
การขยายความ
การขยายความ หมายถึง วิธีการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจข้อมูล ข่าวสาร หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ศึกษาค้นคว้า แปลความ ตีความ อย่างมีวิจารณญาณ แล้วถ่ายทอดรายละเอียดของข้อมูล เรื่องราว เพิ่มมากขึ้น ชัดเจน มีสาระและเหตุผลโดยอาศัยเรื่องเดิมหรือข้อความที่ปรากฏเป็นพื้นฐาน
การขยายความสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
๑.การกล่าวถึงสาเหตุและผลที่สัมพันธ์กัน
๒.การยกตัวอย่างหรือข้อเท็จจริงมาประกอบเนื้อเรื่องเดิม
๓.การอธิบายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเพิ่มเติม
๔.การคาดคะเน (การอนุมาน) สิ่งที่น่าจะเป็น หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
โดยอาศัยข้อมูลเหตุผลจาก เรื่องเดิมเป็นพื้นฐานการคิดคาดคะเน
ตัวอย่างการขยายความ
ตัวอย่างที่ ๑ ฝนตกหยิม ๆ ยายฉิมเก็บเห็ด
จากข้อความนี้ สามารถขยายความออกไปได้โดยคิดถึงสิ่งที่นาจะเป็นและใช้เหตุผลประกอบได้ดังนี้
๑.หญิงชราชื่อฉิม มีฐานะยากจน เพระต้องออกไปหาเห็ด
แม้ว่าฝนจะตก แกสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ (อาจจะขาดก็ได้เพราะยากจน)
๒.ยายฉิมผู้นี้อยู่ตามลำพัง เพราะหากมีลูกหลานก็ไม่น่าจะใจร้าย
ปล่อยให้แกออกไปเก็บเห็ดตามลำพังขณะฝนตก
๓. ยายฉิมอาศัยอยู่ในกระท่อมชายป่า
เพราะเป็นภูมิประเทศที่เที่ยวหาเห็ดได้
๔.ขณะที่แกออกไปเก็บเห็ดนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่
เพราะถ้าสายอาจมีคนอื่นมาเก็บไปก่อน หรือมิฉะนั้นดอกเห็ด
ก็จะบานซึ่งไม่เป็นที่นิยมที่จะรับประทาน
๕.เป็นช่วงฤดูฝน
๖.ยายฉิมน่าจะเก็บเห็ดเพื่อเอาไปขาย เพราะอายุขนาดนั้น
คงไม่สามารถทำงานหนักอย่างอื่นเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้
และที่ต้องเก็บเห็ดไปขายเป็นการดิ้นรนกระเสือกกระสนเลี้ยงชีพ
เพราะไม่มีลูกหลานคอยดูแล
ตัวอย่างที่ ๒
ความโศกเกิดจากความรัก
ความกลัวก็เกิดจากความรัก
ผู้ที่ละความรักเสียได้ ก็ไม่โศกไม่กลัว
(พุทธภาษิต)
ขยายความได้ว่า
เมื่อบุคคลมีความรักต่อสิ่งใด หรือคนใด เขาก็ต้องการให้สิ่งนั้น คนนั้น
คงอยู่กับเขาตลอดไป มนุษย์โดยทั่วไปย่อมจะกลัวว่าสิ่งนั้นๆหรือคนที่ตนรัก
จะสูญหายหรือจากเขาไป ด้วยธรรมดาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง
สูญสลายไปตามสภาพการณ์ ถ้าบุคคลรู้ความจริงข้อนี้
เขาก็จะไม่โศกไม่กลัวต่อไป
ตัวอย่างที่ ๓
เหล่าแม่ค้าเรือพายร้องขายของ
ส่งเสียงร้องซื้อได้ไหมจ๊ะ ก่อนจะสาย
ทั้งผักปลาผลไม้สวนล้วนมากมาย
ดูวุ่นวายสับสนเดินชนกัน
จากตัวอย่างนี้ สามารถขยายความได้โดยการคาดคะเนอย่างมีเหตุผล
จากความเดิมดังนี้
๑.สถานที่ขายของมีลักษณะเป็นตลาดน้ำ เพราะแม่ค้าพายเรือขายของ
๒.ตลาดขายของเฉพาะช่วงเช้า ไม่ขายตลาดวัน อนุมานได้จากข้อความว่า ก่อนจะสาย
ซึ่งแสดงว่า พอสายก็หยุดขาย
๓.ข้อความในวรรคที่สาม แสดงว่า การปลูกผัก ผลไม้ ในบริเวณแถบนั้นได้ผลสมบูรณ์
(แม่ค้าน่าจะเก็บผักหรือผลไม้ที่ปลูกในละแวกนั้นมาขาย เพราะต้องมาให้ทันตลาดตอนเช้า
หากเก็บมาจากที่ไกล ๆ อาจพายเรือไม่ทันเวลา)
๔. แสดงว่าแม่น้ำลำคลองละแวกนั้นยังดีอยู่ ยังไม่เน่าเหม็น ปลาที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำ
ลำคลองยังมีจำนวนมาก เพราะสามารถจับมาขายได้
๕.ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นมีเป็นจำนวนมาก เฉพาะที่มาจ่ายตลาด
ก็มาถึงขนาดเดินชนกัน
อ้างอิง : https://sites.google.com/site/thaisubjectkruorawan/bth-thi-4-kar-xan-pael-khwam-tikhwam-laea-khyay-khwam (วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๑)
https://km.nssc.ac.th/external_links.php?links=5768 (วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๑)
สร้างโดย : นาย ราชัน สนิทปัจโร เลขที่ 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2